วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความที่น่าสนใจ

มุมมองใหม่สำหรับคนต้องการกำลังใจ

ถ้าหากกำลังมีทุกข์
ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น

ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า
หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก

หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า
จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น
และรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน

ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า

"ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่
ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า

หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน"

หรือหากทำงานและธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่า
ความผิดพลาดและล้มเหลว
คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ

เหมือนคำกล่าวที่ว่า

"บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด
ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง
ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต
จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต"

แนวทางของการออกแบบองค์ประกอบทางทัศนะ

สรุปแนวทางของการออกแบบองค์ประกอบทางทัศนะ
สารสนเทศที่นำเสนอ ภาพเคลื่อนไหว ต่างๆเหล่านี้นับได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญกับผู้เรียน ซึ่งแนวทางในการออกแบบ ได้แก่
1. ควรนำเสนอสาระที่พอควรในแต่ละหน้าจอ ถ้าใส่แน่นเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ลดลง
2. กรณีที่ต้องนำเสนอเนื้อหาจำนวนมาก ควรเสนอเนื้อหานั้นเป็นกลุ่มย่อยๆและเป็นช่วงๆ
3. กรณีใช้กรอบวินโดวส์ในการนำเสนอ เพื่อวัตถุประสงค์ ได้แก่
3.1 ดึงความสนใจของผู้เรียน
3.2 ลดความแน่นของหน้าจอ
3.3 สร้างรูปแบบการนำเสนอ
4. ใช้ปุ่มที่เข้าใจง่ายและดึงความสนใจของผู้เรียน
5. นำเสนอด้วยรูปภาพ ไดอะแกรม และโฟล์ชาร์ต เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม เข้าใจง่ายและจดจำได้
6. เทคนิคที่ช่วยนิเทศก์ผู้เรียน
6.1 วางเนื้อหาและองค์ประกอบต่างๆให้คงที่
6.2 วางผังหน้าจอให้สม่ำเสมอ
6.3 กำหนดรูปแบบของทัศนะบนหน้าจอให้คงที่
6.4 ใช้สีและรูปร่างเป็นตัวชี้แนะ
6.5 ใช้ป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่ง
6.6 ให้มีมุมมองแบบนกมอง คือ มองได้ทั้งระยะใกล้และไกล
7. เทคนิคในการกำหนดตำแหน่งสาระบนหน้าจอ
7.1 วางสาระสำคัญในตำแหน่งที่สำคัญ
7.2 แสดงสาระที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างหน้าจอต่อหน้าจอ
7.3 วางสาระที่แสดงอยุ่ปัจจุบันไว้ในตำแหน่งคงที่
8. เมื่อต้องการแสดงสาระสำคัญที่ต้องการดึงดูดหรือนำสายตาผู้เรียน ให้ใช้เทคนิคต่างๆ
9. เทคนิคที่ช่วยในการชี้แนะสาระ
10. เทคนิคเกี่ยวกับสี


การออกแบบและพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค (LO)
ต้องอาศัยทีมงานในการทำงานอย่างน้อย ได้แก่
1) ผู้ชำนาญด้านเนื้อหา
2) นักออกแบบการเรียนการสอน
3) นักออกแบบกราฟิก
4) ผู้เขียนโปรแกรม
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1. ขั้นตอนการพัฒนาเนื้อหา
1.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
1.2 กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้
1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกำหนดความเหมาะสมของกิจกรรม
1.4 เขียนสตอรี่บอร์ด เป็นการกำหนดสิ่งที่จะปรากฎบนหน้าจอ
1.5 เขียนโฟล์วชาร์ต ซึ่งช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างหน้าจอแต่ละหน้า
2. การผลิต ทีมงานจะทำงานตามสตอรี่บอร์ดและแผน ที่ได้วางไว้
2.1 ทีมงานผลิตทำการศึกษาโฟล์วชาร์ตและสตอรี่บอร์ดโดยละเอียด
2.2 ทีมงานผลิตให้คำแนะนำแก่นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์สเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา
2.3 กรณีที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ทีมงานผลิตอาจแยกความรับผิดชอบงานออกเป็นชิ้นย่อยๆ จึงลงมือสร้าง และนำมารวบรวม

ความหมายของ CMS LMS และ LCMS

CMS คืออะไร
ความหมายของ Content Management System (CMS)
ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์(Content Management System : CMS) คือ ระบบที่พัฒนา คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา(Development) และบริหาร(Management)เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลไซต์โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะนำเอา ภาษาสคริปต์(Script languages) ต่างๆมาใช้ เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น PHP, Perl, ASP, Python หรือภาษาอื่นๆ(แล้วแต่ความถนัดของผู้พัฒนา) ซึ่งมักต้องใช้ควบคู่กันกับโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์(เช่น Apache) และดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์
ลักษณะเด่นของ CMS ก็คือ มีส่วนของ Administration panel(เมนูผู้ควบคุมระบบ) ที่ใช้ในการบริหารจัดการส่วนการทำงานต่างๆในเว็บไซต์ ทำให้สามารถบริหารจัดการเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว


LMS คืออะไร
LMS เป็นคำที่ย่อมาจาก Learning Management System หรือระบบการจัดการเรียนรู้ค่ะ เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ จะประกอบด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ดูแลระบบ โดยที่ผู้สอนนำเนื้อหาและสื่อการสอนขึ้นเว็บไซต์รายวิชาตามที่ได้ขอให้ระบบจัดไว้ให้ได้โดยสะดวก ส่วนผู้เรียนก็สามารถเข้าถึงเนื้อหา กิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยผ่านเว็บ ทั้งผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อ สื่อสารได้ผ่านทางเครื่องมือการสื่อสารที่ระบบจัดไว้ให้ค่ะเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ห้องสนทนา กระดานถาม - ตอบ



LCMS คืออะไร
Learning Content management system
คือระบบจัดการจัดการเนื้อหาการเรียนรู้ เป็นระบบที่มีการบูรณาการในส่วนเครื่องมือการสร้างและจัดการเนื้อหาในระบบ ซึ่งเป็นระบบที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สอนและผู้เรียนในการจัดการสอน ช่วยให้ผู้สอนพัฒนาเนื้อหาออนไลน์เพื่อการนำเสนอในรูปแบบที่เป็นโครงสร้างสามารถปรับเปลี่ยนได้ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหาได้หลากหลายขึ้น
ที่มาของระบบ (Learning Content management system )
LCMS ระบบการจัดการเนื้อหาการเรียน พัฒนามาจากระบบการเรียนรู้ 2 ระบบคือ
1 ระบบการจัดการเรียนรู้ LMS (Learning management system ) ซึ่งสามารถในการนำเนื้อหาการเรียนรู้มารวมกันกลุ่มๆ แล้วนำเข้าสู่ระบบ
2 ระบบการจัดการเนื้อหา CMS ( Content management system ) จุดเด่นคือ สามารถสร้างและจัดเก็บข้อมูล



ความแตกต่าง CMS LMS และLCMS



CMS มุ่งเน้นเกี่ยวกับการสร้างสรรค์การเก็บรวบรวมเนื้อหา
LMS มุ่งเน้นการจัดการเกี่ยวกับผู้เรียน กิจกรรมของผู้เรียน ติดตามความก้าวหน้าและประเมินความสามารถของผู้เรียน
LCMS มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหา การนำเนื้อหากลับมาใช้ใหม่ การจัดการและการปรับปรุงเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรุป
•LCMS ช่วยให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเนื้อหาออเป็นส่วนย่อยๆ อย่าง Learning object แล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่เป็นเนื้อหาเหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคล กล่าวคือส่งความรู้ในปริมาณที่เพียงพอให้ถูกบุคคลทันเวลาเหมาะสมกับการใช้งาน ก็คือ การทำงานของระบบจัดการเนื้อหาการเรียนรู้

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ตกแต่งภาพง่ายๆกับ slide.com

มาแต่งภาพง่ายๆกับ www.slide.com

ขั้นตอนที่ 1 Browse ภาพที่ต้องการจะตกแต่ง


ขั้นตอนที่ 2 เลือก Effects แล้ว เลือกตกแต่งตามใจชอบ ( Old Film!)

ขั้นตอนที่ 3 เลือก Skins ตามใจชอบ ( TV)


ขั้นตอนที่ 4 เมื่อตกแต่งเสร็จกด Save



ขั้นตอนที่ 5 ใช้E-mail ของเราในการขอรับ Code



ขั้นตอนที่ 6 Copy Code ไปใส่ใน Blog ของเรา








นี่คือภาพที่เสร็จสมบูรณ์

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Task 2

1 ให้นักศึกษาค้นหาความหมายของคำต่อไปนี้

1.ความหมายของ E-Learning
คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology) คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้

2 ความหมายของ (Web - Based Instruction : WBI)
ในปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตได้พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว และได้ก้าวมาเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ โดยพัฒนา CAI เดิมๆ ให้เป็นสื่อการเรียนการสอนที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยีเว็บ หรือ WBI (Web-based Instruction) ส่งผลให้การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนได้รับความนิยมอย่างสูง สามารถเผยแพร่ได้รวดเร็ว และกว้างไกลกว่าสื่อ CAI ด้วยประเด็นสำคัญได้แก่
คุณสมบัติของเอกสารเว็บที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิทัศน์ และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยง (Links) ไปตำแหน่งต่างๆ ได้ตามความต้องการของผู้พัฒนา
บริการต่างๆ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในระบบ 7 x 24 และไม่จำกัดด้วยสถานที่
การเรียนการสอนผ่านเว็บ ( Web base Instruction ) จึงหมายถึง การรวมคุณสมบัติของสื่อหลายมิติ (Hypermedia) กับ คุณลักษณะของอินเตอร์เน็ตและเวิล์ดไวด์เว็บ มาออกแบบเป็นเว็บเพื่อการเรียนการสอน สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยมีลักษณะที่ผู้เรียนและผู้สอนมี ปฏิสัมพันธ์กันโดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงถึงกัน


3 ความหมายของ Computer Assisted Instruction (CAI)

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI : Computer Assisted Instruction หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์เพื่อทำการถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือ ความรู้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับผู้เรียนในห้องเรียนมากที่สุด โดยนำเสนอสื่อประสม (Multimedia) ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว กราฟิก แผนภูมิ วีดีทัศน์และเสียง โดยจะนำเสนอเนื้อหาทีละจอภาพ ซึ่งเนื้อหาในคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะได้รับการถ่ายทอดในลักษณะที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและโครงสร้างของเนื้อหาhttp://dit.dru.ac.th/home/023/cai/02.htm

4 ความหมายของ Computer Manage instruction (CMI)

เป็นการนำคอมพิวเตอร์เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับลักษณะและพฤติกรรมของนักเรียน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ โดยจัดโปรแกรมให้สอดคล้องกับผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตน ที่มา http://gotoknow.org

5 ความหมายของ Mobile Learning (M-Learning)

คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless telecommunication network) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้โดยสะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริง ได้แก่ Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนhttp://www.google.co.th/search?hl=th&q=Mobile+Learning+%28M-Learning%29%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&meta=&aq=0&oq=%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87

6 ความหมายของ Virtual class room
ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึง การเรียนการสอนที่กระทำผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้าไว้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือข่าย (File Server) และคอมพิวเตอร์ผู้ให้บริการเว็บ (Web sever) เป็นการเรียนการสอนที่จะมีการนัดเวลาหรือไม่นัดเวลาก็ได้ และนัดสถานที่ นัดตัวบุคคล เพื่อให้เกิดการเรียนการสอน มีการกำหนดตารางเวลาหรือตารางสอน เข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กันหรือไม่พร้อมกัน มีการใช้สื่อการสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือตอบโต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้าย chat room) ส่วนผู้สอนสามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนาการประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของหลักสูตรได้ ทั้งนี้ ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ เวลา (Any Where & Any Time) ของผู้เรียนในชั้นและผู้สอน http://www.google.co.th/search?hl=th&q=Virtual+class+room%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&meta=&aq=0&oq=%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87

2. บอกความเหมือนและความแตกต่างของคำต่อไปนี้

1 E-Learning กับ Web Base Instruction (WBI)
ความเหมือน เป็นการเรียนการสอนผ่านทางเว็บไซค์
ความต่าง ข้อแตกต่างของ e-learning กับ WBI นั้นคือ WBI เป็นต้นกำเนิดของ e-learning, WBI พัฒนาขึ้นมากลายเป็น e-learning
2 Computer Assisted Instruction (CAI) กับComputer Manage instruction (CMI)
ความเหมือน เป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างนักเรียนกับคอมพิวเตอร์ โดยเน้นการเรียนเป็นรายบุคคลศึกษาด้วยตนเอง ใช้จัดระบบการเรียนการสอน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถความถนัดของตนเอง
ความแตกต่าง CAI มีลักษณะเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนสำเร็จรูป เนื้อหาเรื่องราว
ส่วน CMI เป็นการนำคอมพิวเตอร์เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับลักษณะและพฤติกรรมของนักเรียน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
http://wwwgooglecomprofilespiyawa.blogspot.com/2009/11/12112009.html

3 Web Base Instruction (WBI) กับComputer Assisted Instruction (CAI)
ความเหมือน ใช้คอมพิวเตอร์เป็นกระบวนในการเรียนการสอน เป็นการเรียนโดยตรงระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์
ความแตกต่าง CAI เป็นการนำเอาบทเรียนมาเขียน มาแสดงให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งมีลำดับขั้นของการเขียน มีแบบทดสอบให้ผู้เรียนและสามารถตรวจสอบผลได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความสามารถได้ตนเอง ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม WBI เป็นการผนวกคุณสมบัติ"ไฮเปอร์มีเดีย เข้ากับคุณสมบัติของเครือข่าย WWW. เพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ ในมิติที่ไม่มีขอบเขตจำกัดด้วยระยะทางและเวลาที่แตกต่างกัน http://gotoknow.org/blog/47090188/19857
4 Computer Assisted Instruction (CAI) กับ Mobile Learning (M-Learning)
m-Learning (mobile learning) คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless telecommunication network) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้โดยสะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริง ได้แก่ Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่วน
(CAI) คือ สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์เพื่อทำการถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือ ความรู้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับผู้เรียนในห้องเรียนมากที่สุด โดยนำเสนอสื่อประสม (Multimedia) ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว กราฟิก แผนภูมิ วีดีทัศน์และเสียง โดยจะนำเสนอเนื้อหาทีละจอภาพ ซึ่งเนื้อหาในคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะได้รับการถ่ายทอดในลักษณะที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและโครงสร้างของเนื้อหา http://dit.dru.ac.th

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


ชื่อ นางสาวประภาสิริ นุชประเสริฐ ชื่อเล่น ปลา

กำลังศึกษาอยู่ที่ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

ปีที่ 1 ห้อง c

เกิด 14/7/2531 อายุ 21 ปี

ที่อยู่ 150 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ. ปทุมธานี 12130

เบอร์โทรศัพท์ 082-0758826

อีเมล Par_54@hotmail.com